มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (2025)

มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (1)

ที่มาของภาพ, Nasa/JPL

Article Information
    • Author, โจนาธาน โอคัลลาแกน
    • Role, บีบีซี ฟิวเจอร์

จงลืมเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับยูเอฟโอ (UFO) รวมทั้งเอเลียนที่ชอบลักพาตัวมนุษย์ไปเสียก่อน เพราะเรื่องราวต่อจากนี้จะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงกำลังค้นหาสิ่งมีชีวิตในดาวดวงอื่นกันอย่างไร

เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมักถูกพูดถึงด้วยความตื่นเต้น ความคาดหวังว่าจะพบสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของพวกเราอย่างมาก และยังเป็นแรงบันดาลใจต่อหนังสือ รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมไปถึงทฤษฏีสมคบคิดแปลก ๆ

ท่ามกลางจินตนาการมากมาย ที่มักจะวาดภาพคนตัวเล็ก ๆ สีเขียว ให้เป็น "เอเลียน" ในโลกของความเป็นจริงยุคปัจจุบัน การพยายามไล่ล่าหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้เกิดขึ้นแล้ว และมันไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์นอกกรอบหรือแนวคิดซึ่งยังเป็นที่ถกเถียง ทว่าการค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวเป็นกระบวนการที่มีระบบระเบียบ ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ได้ ภายในไม่เกินหนึ่งทศวรรษข้างหน้า

หากจะอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปัจจุบันการตามล่าหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกยังคงดำเนินอยู่หลายโครงการ เช่นบนดาวอังคารมีหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจตัวหนึ่ง กำลังเก็บตัวอย่างเพื่อค้นหาร่องรอยเบาะแสของสิ่งมีชีวิต ว่าเคยมีอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงแห่งนี้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมียานสำรวจอีกหลายลำ ที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปเยือนดวงจันทร์น้ำแข็งในระบบสุริยะของเรา เพื่อค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิต

ในขณะเดียวกัน บรรดานักดาราศาสตร์ก็เริ่มค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว ด้วยการมองหาสารประกอบในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ เพื่อใช้เป็นเบาะแสบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกับการมองหาสัญญาณจากอารยธรรมทรงภูมิปัญญา ที่อาจจะบังเอิญหรือตั้งใจติดต่อสื่อสารกับเรา

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

"ผมคิดว่าในอีกสิบปีข้างหน้า เราน่าจะได้พบหลักฐานบางประการที่บอกได้ว่า มีสารอินทรีย์อย่างใดอย่างหนึ่งบนดาวเคราะห์บางแห่งที่อยู่ไม่ไกลหรือไม่" ลอร์ด มาร์ติน รีส์ ราชบัณฑิตดาราศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรกล่าว

หากว่าเอเลียนมีอยู่จริง พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เราหาเจอได้โดยง่าย ความพยายามเริ่มแรกในการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "สถาบันเซติ" (SETI Institute) ได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยมีเหล่านักดาราศาสตร์ร่วมกันค้นหาสัญญาณวิทยุ ที่คาดว่าถูกส่งมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เคยเชื่อกันว่าดาวอังคารมีคลองและแม่น้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต แต่ต่อมากลับพบว่า ดาวอังคารเป็นพื้นที่แห้งแล้งกันดาร ส่วนดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ก็มีขนาดเล็กมากเสียจนการหาพวกมันให้เจอเป็นเรื่องยาก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพยายามศึกษาสิ่งต่าง ๆ บนดาวเคราะห์เหล่านั้นเลย

เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว เราจำเป็นต้องปรับวิธีการค้นหาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวมทั้งเตรียมพร้อมกับความเป็นไปได้ว่า การสำรวจเบื้องต้นอาจจะพบเพียงหลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นจุลินทรีย์หรือตัวบ่งชี้ทางเคมี ที่อาจพบได้ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลออกไป

เมื่อเปรียบเทียบกับจินตนาการแบบภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการติดต่อครั้งแรกกับมนุษย์ต่างดาวอย่างน่าตื่นเต้น การค้นพบเพียงจุลินทรีย์หรือตัวบ่งชี้ทางเคมีเช่นนี้ อาจดูเหมือนเป็นการจบแบบหักมุมไปหน่อย แต่ถึงกระนั้น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ก็จะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ของเราในจักรวาลไปอย่างสิ้นเชิง

มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (6)

ที่มาของภาพ, NASA

ในระบบสุริยะของเรา ดาวอังคารยังคงเป็นเป้าหมายยอดนิยมในการตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกในปัจจุบัน เราทราบว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ดูเหมือนจะเคยมีความชื้นในอดีต และมีความเป็นไปได้ที่จะมีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีก่อน โดยอาจมีทั้งทะเลและทะเลสาบหลายแห่งบนพื้นผิว ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเบาะแสเด็ด ที่เผยว่าอาจจะมีน้ำในสถานะของเหลว ซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วใต้ของดาวอังคาร

ขณะนี้หุ่นยนต์ตระเวนสำรวจ "เพอร์เซเวียแรนซ์" (Perseverance) ขององค์การนาซา กำลังเก็บตัวอย่างดินและหินจากพื้นที่ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นทะเลสาบ ภายในแอ่งหลุมเจเซโร (Jezero Crater) บริเวณเขตเหนือเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเก็บตัวอย่างดินและหิน เพื่อนำส่งกลับสู่โลกในช่วงต้นทศวรรษ 2030 ภายใต้ภารกิจ Mars Sample Return ซึ่งจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด ว่ามีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในตัวอย่างดังกล่าวจริงหรือไม่

ปัจจุบันภารกิจนี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการนำตัวอย่างดังกล่าวกลับสู่โลก ซึ่งตอนนี้ยังคงขาดแคลนเงินทุนสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดลดงบประมาณด้านการสำรวจอวกาศของสหรัฐฯ ลงอย่างมาก แต่หากว่าท้ายที่สุดแล้วภารกิจนี้สามารถจะสำเร็จลุล่วง เราก็จะได้ทรัพยากรทางวิทยาศาสตร์ที่ทรงคุณค่ามาอยู่ในมือ

ในเดือนก.ย. ปี 2025 องค์การนาซาประกาศว่าพบร่องรอยหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่แสดงว่าในอดีตอาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร โดยหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจเพอร์เซเวียแรนซ์ พบหลักฐานดังกล่าวในหินโคลนที่เก็บมาจากก้นหุบผาลึก ซึ่งหุบผานี้เป็นโกรกธาร ที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำยุคโบราณภายในแอ่งหลุมเจเซโร

ผลวิเคราะห์ตัวอย่างหินด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ติดตั้งไว้กับเพอร์เซเวียแรนซ์ พบสารประกอบของธาตุเหล็กสองชนิด ได้แก่ไอร์เอินซัลไฟด์ (FeS) หรือแร่เกรไกต์ (Greigite) และไอร์เอินฟอสเฟต (FePO4) หรือแร่วิเวียไนต์ (Vivianite) โดยร่องรอยของสารอินทรีย์เหล่านี้คงเหลืออยู่ในหิน ในรูปแบบที่คล้ายกับสารประกอบที่จุลชีพบนโลกผลิตขึ้น

เมื่อประมวลวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ของนาซาลงความเห็นว่า นี่อาจจะเป็น "สัญญาณทางชีวภาพ" (biosignature) ของสิ่งมีชีวิตในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจสรุปผลการตรวจสอบได้อย่างแน่ชัด จนกว่าจะสามารถนำตัวอย่างหินดังกล่าวกลับสู่โลก

ซูซาน ชเวนเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์แห่งมหาวิทยาลัยโอเพนในสหราชอาณาจักร และหนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ของภารกิจ Mars Sample Return เล่าให้ฟังว่า สิ่งมีชีวิตในยุคโบราณของดาวอังคาร อาจทิ้งร่อยรอยไว้ในลักษณะของปฏิกิริยาระหว่างหินแร่กับน้ำ "หากเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง ทุกสิ่งจะดูแตกต่างออกไปอย่างมาก ถ้าพวกเราได้รับตัวอย่างดินและหินจากดาวอังคาร ก็จะสามารถศึกษาลงลึกไปถึงรายละเอียดย่อย ๆ ได้"

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ตัวอย่างจากดาวอังคารบางส่วน อาจมีซากฟอสซิลของจุลินทรีย์ติดอยู่ภายในก้อนหิน "ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ฉันจะไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการศึกษาเรื่องนี้แน่ ๆ หากไม่มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่แรกว่า เรามีโอกาสเยอะพอสมควรที่จะค้นพบบางสิ่ง ฉันยังหวังว่าพวกเราจะเจออะไรสักอย่าง แต่ก็คาดเดาอะไรไม่ได้หรอก" ชเวนเซอร์กล่าว

แม้เราจะค้นพบเบาะแสหรือสัญญานของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารในท้ายที่สุด แต่นั่นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่น ๆ ทั่วทั้งจักรวาลด้วย เพราะดาวอังคารและโลกถือกำเนิดขึ้นจากวัตถุอวกาศกลุ่มเดียวกันในช่วงแรก ๆ ของการก่อตัว ซึ่งก็หมายความว่าดาวเคราะห์ทั้งสอง อาจมีแหล่งกำเนิดของชีวิตมาจากแหล่งเดียวกันได้

เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามีการกำเนิดชีวิตครั้งที่สอง (second genesis) ซึ่งแยกกันเกิดขึ้นเป็นเอกเทศบนดาวเคราะห์แต่ละดวงขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังหันเหความสนใจไปที่ดวงจันทร์น้ำแข็งในระบบสุริยะ อย่างเช่นดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) บริวารของดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์เอนเซลาดัส (Enceladus) บริวารของดาวเสาร์ โดยเชื่อว่ามีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อยู่ภายใต้พื้นผิวเยือกแข็ง

"หากเราค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์น้ำแข็งเหล่านั้น ก็สามารถจะมั่นใจได้ว่า นี่คืออีกแหล่งกำเนิดชีวิต ที่แตกต่างไปจากบนโลกของเรา" ชเวนเซอร์กล่าวอธิบาย

มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (7)

ที่มาของภาพ, Getty Images

หนึ่งในภารกิจสำรวจเพื่อค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ยูโรปาของนาซา คือการส่งดาวเทียมโคจรสำรวจชื่อ "ยูโรปา คลิปเปอร์" (Europa Clipper) ซึ่งออกเดินทางไปตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2024 และคาดว่าจะเดินทางถึงจุดหมายในปี 2030 ก่อนหน้านั้นได้มีการส่งยานสำรวจในภารกิจจูซ (JUICE) ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) เมื่อเดือน เม.ย. ปี 2023 ซึ่งคาดว่าจะเดินทางถึงเป้าหมายที่ดวงจันทร์เยือกแข็งยูโรปาเช่นกัน ในปี 2031

ยานสำรวจทั้งสองไม่ได้ทำภารกิจค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ยูโรปา แต่จะศึกษาโครงสร้างและขอบเขตของมหาสมุทร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต ซึ่งจะพยายามขุดลึกลงไปใต้ผืนน้ำแข็ง ตัวอย่างเช่นแผนส่งยานลงจอดขององค์การนาซาที่เรียกว่า "ยูโรปา แลนเดอร์" ซึ่งตอนนี้ยังคงเป็นเพียงร่างแผนการเท่านั้น หรืออาจจะให้ยานสำรวจบินผ่านไอพ่นของน้ำพุร้อนขนาดยักษ์ ที่พวยพุ่งขึ้นมาจากมหาสมุทรของดวงจันทร์ยูโรปาจนถึงห้วงอวกาศ เพื่อลองค้นหาสิ่งมีชีวิตก็ได้

อย่างไรก็ตาม บรินีย์ ชมิดต์ นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เรียกการส่งเครื่องจักรลงไปสำรวจในห้วงมหาสมุทรต่างดาวว่า "ปัญหาร้อยปี" เนื่องจากการเจาะทะลุเข้าไปใต้แผ่นน้ำแข็งที่หนาถึงหลายกิโลเมตร ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างแสนสาหัส แต่การเจาะเพียงเปลือกส่วนบนของน้ำแข็ง พร้อมกับตรวจสอบของเหลวด้วยปฏิกิริยาทางเคมีไปด้วย ถือเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

"นั่นคือภารกิจแบบที่ฉันต้องการเห็น ทีมของเรากำลังคิดค้นอุปกรณ์และเทคโนโลยี เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เมื่อไปถึงที่นั่น" ชมิดต์กล่าว

หากว่าคุณยังไม่พร้อมจะรอต่อไปอีกร้อยปี สิ่งที่ทำได้อาจเป็นการเฝ้าสังเกตและเพ่งมองไปยังระบบสุริยะแห่งอื่น ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีดาวเคราะห์มากกว่า 5,500 ดวง ที่โคจรวนรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ ซึ่งเรียกกันว่า "ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ" (exoplanet) มีการค้นพบดาวเคราะห์แบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน ด้วยประสิทธิภาพของอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งก็คือกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เว็บบ์ (JWST) อันทรงพลัง ทำให้เหล่านักดาราศาสตร์เริ่มค้นพบรายละเอียดอันวิจิตรงดงามของดาวเคราะห์เหล่านี้ได้

ตอนนี้นักดาราศาสตร์ใช้กล้อง JWST เพื่อตรวจสอบก๊าซในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นดาวหินแข็งคล้ายโลก ว่ามีก๊าซอะไรเป็นองค์ประกอบอยู่บ้าง แม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีกล้อง JWST จะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะโดยตรง แต่ต่อมาได้รับการเพิ่มภารกิจให้ศึกษาดาวเคราะห์เหล่านี้ด้วย เนื่องจากเป็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมา และมีศักยภาพในการศึกษาห้วงอวกาศได้ดีที่สุดในตอนนี้

ทว่ากล้อง JWST ก็ไม่อาจศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะบางจำพวก เช่นดาวเคราะห์ที่โคจรวนรอบดาวฤกษ์ซึ่งมีระดับความสว่างพอ ๆ กับดวงอาทิตย์ของเรา เนื่องจากแสงของดาวเคราะห์เหล่านั้นริบหรี่เกินไป เมื่อเทียบกับแสงสว่างจากดาวฤกษ์ จนแม้แต่กล้อง JWST ก็ไม่อาจจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นเราจึงต้องมีกล้องโทรทรรศน์ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้นในอนาคต หนึ่งในความหวังนั้นคือแผนการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดยักษ์ที่เรียกว่า "อุปกรณ์สังเกตการณ์ดวงดาวที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้" หรือ Habitable Worlds Observatory (HWO) ขององค์การนาซา ที่คาดว่าจะปล่อยขึ้นสู่ห้วงอวกาศในช่วงทศวรรษ 2040 เพื่อศึกษาดาวเคราะห์กลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะ

แต่ในระหว่างนี้ กล้อง JWST ยังคงสามารถศึกษาดาวเคราะห์ที่รายล้อมดาวฤกษ์ขนาดเล็กอย่าง "ดาวแคระแดง" (red dwarfs) ได้อยู่ โดยปัจจุบันกำลังศึกษาระบบดาว "แทรปปิสต์ – วัน" (Trappist-1) ซึ่งประกอบไปด้วยดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับโลก 7 ดวง โดยในจำนวนนี้ 3 ดวง โคจรอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมจากดาวฤกษ์ศูนย์กลาง ทำให้อยู่ในเขตที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากน้ำบนพื้นผิวดาวอยู่ในสถานะของเหลวได้

ขั้นตอนแรกในการพยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์เหล่านี้ คือการที่นักดาราศาสตร์ต้องยืนยันให้ได้ว่า ดาวเคราะห์กลุ่มดังกล่าวมีชั้นบรรยากาศหรือไม่ นักวิจัยที่ใช้งานกล้อง JWST กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ และคาดว่าจะทราบผลได้ในช่วงปลายปี 2024 หรือภายในปี 2025

เจสซี คริสเตียนเซน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแห่งองค์การนาซา ซึ่งตั้งอยู่ในสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนียหรือ "แคลเทค" (Caltech) ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่าดาวเคราะห์ชั้นในสุดของระบบแทรปปิสต์-วัน มีแนวโน้มที่จะไร้ชั้นบรรยากาศปกคลุม ซึ่งเท่ากับว่าขาดปัจจัยที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal Letters เมื่อต้นเดือนก.ย. ปี 2025 พบว่ามีสัญญาณบ่งชี้ของชั้นบรรยากาศบนดาว TRAPPIST-1e ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่สี่ของระบบ แต่สัญญาณบ่งชี้ดังกล่าวยังไม่ชัดเจน จึงต้องรอการสรุปผลขั้นสุดท้ายที่อาจมีขึ้นในปี 2026

"การค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ในช่วง 20 ปีข้างหน้า จะขึ้นอยู่กับผลการศึกษาครั้งนี้" คริสเตียนเซนกล่าว "หากพบว่าดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวแคระแดงมีชั้นบรรยากาศ เราจะเล็งกล้องโทรทรรศน์ทุกตัวบนโลกไปยังดาวเคราะห์เหล่านี้ เพื่อศึกษาให้มากขึ้น"

มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (8)

ที่มาของภาพ, NASA

หากพบว่าดาวเคราะห์ดวงไหนมีชั้นบรรยากาศ หน้าที่ขั้นต่อไปของกล้อง JWST คือการค้นหาสัญญาณทางชีวภาพในชั้นบรรยากาศดังกล่าว ซึ่งจะบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้น "เราต้องค้นหาร่องรอยของสมการเคมีที่ไม่สมดุล เพราะคุณสามารถสังเคราะห์คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน และน้ำ บนดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ แต่การมีสารเหล่านั้นในสัดส่วนที่ผิดปกติ ในปริมาณที่ไม่สามารถจะมีอยู่ตามธรรมชาติ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราพอจะบอกได้ว่า ต้องมีกลไกทางชีววิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน" คริสเตียนเซนกล่าว

กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่มีแผนจะสร้างในอนาคต เช่น HWO ขององค์การนาซา และโครงการ Life ของยุโรป ก็มีแผนจะทำการวิเคราะห์ในลักษณะเดียวกัน โดยมุ่งเป้าไปที่ดาวเคราะห์คล้ายโลก ซึ่งโคจรวนรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ของเรา "กลุ่มดาวเคราะห์เป้าหมายคือดาวที่เป็นหินแข็ง ภายในเขตที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต" ซัสชา ควันซ์ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในนครซูริค (ETH Zürich) หนึ่งในผู้นำโครงการ Life กล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีภารกิจค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอีกด้วย โดยเจสัน ไรต์ นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตในสหรัฐฯ บอกว่าผลการค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตต่างดาว เท่าที่ตรวจจับได้ในระยะห่างจากโลกไม่เกิน 100 ปีแสง ด้วยวิธีดักฟังสัญญาณวิทยุในห้วงอวกาศ พบว่าสัญญาณที่ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ว่า จะเป็นการสื่อสารที่ส่งตรงถึงเราจากมนุษย์ต่างดาว "ดูเหมือนจะไม่มีอยู่จริง"

ปัจจุบันโครงการดักฟังคลื่นวิทยุจากต่างดาวอย่าง Breakthrough Listen ในสหรัฐฯ กำลังขยายขอบเขตการสังเกตการณ์ออกไปให้กว้างไกลขึ้น ด้วยการค้นหาสัญญาณวิทยุที่อาจถูกส่งมาจากดาวเคราะห์อันไกลโพ้นในกาแล็กซีของเรา และมองหาสัญญาณการสื่อสารที่รั่วไหลโดยบังเอิญจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในลักษณะที่คล้ายกับสัญญาณซึ่งมนุษย์โลกพลั้งเผลอส่งออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

หนึ่งในกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงโด่งดัง ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2028 คือ Square Kilometer Array Observatory (SKAO) กลุ่มของเสารับสัญญาณวิทยุหลายพันเสา ที่ถูกติดตั้งในสองทวีปทั้งแอฟริกาใต้และออสเตรเลีย ซึ่งจะช่วยขยายขีดความสามารถในการค้นหาและดักจับสัญญาณขึ้นอย่างมาก "มันน่าตื่นเต้นจริง ๆ เพราะแค่ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุสมัยใหม่เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็อาจจะตรวจจับสัญญาณจากต่างดาวได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว" ไรต์กล่าว

หากเราสามารถค้นพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีเอเลียนได้ ไม่ว่าจะอยู่ภายในระบบสุริยะของเราเอง หรือบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ หรือแม้แต่การค้นพบสัญญาณจากอารยธรรมทรงภูมิปัญญา หลักฐานดังกล่าวไม่น่าจะเป็นการค้นพบแบบฟันธงชัดเจนที่สร้างกระแสฮือฮา แต่น่าจะเป็นกระบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ทำให้เราค่อย ๆ สรุปผลได้ชัดเจนขึ้นทีละน้อย จนท้ายที่สุดก็จะไปถึงขั้นที่สามารถสรุปได้ว่า คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ สิ่งมีชีวิตต่างดาวนั้นมีอยู่จริง

"ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คุณอยู่ในจุดที่สามารถตัดผลบวกลวง (false positive) ออกไปได้มากขึ้นเท่านั้น" ควันซ์กล่าว

ด้วยเหตุนี้การค้นพบเอเลียนอาจจะไม่ได้เป็น "ช่วงเวลาประวัติศาสตร์" ที่เปิดเผยคำตอบอย่างชัดเจนทุกอย่าง คำถามที่น่าสนใจก็คือ สาธารณชนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความคลุมเครือไม่แน่นอนนี้อย่างไร ลอร์ด มาร์ติน รีส์ ราชบัณฑิตดาราศาสตร์ชาวอังกฤษมองว่า "หากมันเป็นเพียงการค้นพบเบื้องต้น นักวิทยาศาสตร์ควรต้องแถลงเน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ผมยังหวังว่าข้อมูลแบบนี้ ควรจะถูกรายงานในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่าง ๆ ด้วย"

หนึ่งในตัวอย่างล่าสุด คือการตรวจพบก๊าซฟอสฟีนบนดาวศุกร์ และการตรวจพบสารไดเมทิลซัลไฟด์บนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงหนึ่ง ทั้งสองกรณีทำให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนว่า มันเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงกลไกชีวภาพนอกโลกหรือไม่ แต่ปัจจุบันก็ยังคงไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า ความพยายามค้นหาเอเลียนที่ผ่านมาทั้งหมด อาจให้ผลลัพธ์เป็นความว่างเปล่าในท้ายที่สุด โดยเราอาจจะคว้าน้ำเหลวเพราะไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นนอกโลกเลย ทว่าการเที่ยวค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวแล้วไม่เจอเช่นนี้ โดยตัวมันเองก็ถือว่าเป็นผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะความล้มเหลวนั้นบอกเราว่า หากสิ่งมีชีวิตนอกโลกดำรงอยู่จริง มันก็ไม่ได้มีอยู่ดาษดื่นหรือพบได้ทั่วไปในจักรวาล

"การค้นหาที่ให้ผลเป็นความว่างเปล่า บ่งบอกถึงสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานกับเราว่า ชีวิตนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากมากจริง ๆ" ควันซ์กล่าว

มนุษย์จะค้นพบเอเลียนที่ดาวไหน? สำรวจภารกิจล่าชีวิตต่างดาวทศวรรษนี้ (2025)

References

Top Articles
Latest Posts
Recommended Articles
Article information

Author: Msgr. Benton Quitzon

Last Updated:

Views: 6743

Rating: 4.2 / 5 (43 voted)

Reviews: 82% of readers found this page helpful

Author information

Name: Msgr. Benton Quitzon

Birthday: 2001-08-13

Address: 96487 Kris Cliff, Teresiafurt, WI 95201

Phone: +9418513585781

Job: Senior Designer

Hobby: Calligraphy, Rowing, Vacation, Geocaching, Web surfing, Electronics, Electronics

Introduction: My name is Msgr. Benton Quitzon, I am a comfortable, charming, thankful, happy, adventurous, handsome, precious person who loves writing and wants to share my knowledge and understanding with you.